แฟ้มสะสมผลงาน




แฟ้มสะสมงาน


                                           
  วันที่12/06/2560
 สัปดาห์ที่1


1. เนื้อหา/กิจกรรม ที่ทำในสัปดาห์นั้นๆ

  •       ให้แบ่งกลุ่ม 5 คน แต่ล่ะกลุ่มเลือกประเทศของแต่ล่ะกลุ่ม
  •        ความหมายของวัฒนธรรม กลุ่ม และทีม ความหมายของนวัตกรรม

  
     1.1  ความหมายของวัฒธรรม
 หมายถึง แบบแผนการดำเนินชีวิตที่ถือปฏิบัติหรือปรับเปลี่ยนสืบทอดกันมา ตั้งแต่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม นอกจากนั้นยังมีหน่วยงานหรือส่วนที่เกี่ยวข้องได้ให้ความหมายไว้คล้ายคลึงกัน
    2.1 ความหมายของนวัตกรรม
นวัตกรรม หมายถึง การมีความคิด และปฏิบัติสิ่งใหม่ๆ หรือการนำของเดิมมาพัฒนาดัดแปลง ให้ทันสมัยและมีผลดียิ่งขึ้น และทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
    3.1 ความหมายของ "กลุ่ม"และ "ทีม"
"กลุ่ม" (Group) คือ การรวมตัวกันของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เมื่อใดที่มีการรวมตัวกัน กลุ่มย่อมเกิดขึ้นแล้ว ส่วนใหญ่การรวมตัวกันเกิดจากความเหมือนกันในด้านต่างๆ เช่น ความสนใจ อุปนิสัย หรือด้วยเหตุปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดการรวมตัวกัน อาจมีเป้าหมายเฉพาะหรือไม่มีก็ได้
"ทีม"  หมายถึง  การรวมตัวตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน ผูกพันกัน มีจุดมุ่งหมาย เป้าหมายเดียวกันและต้องเป็นเป้าหมายที่เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์
    4.1ความแตกต่างระหว่างคำว่า "กลุ่ม" และ "ทีม"
 การทำงานเป็นกลุ่ม คือการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบของแต่ล่ะคน แล้วนำมาตัดสินใจ ลงไปในผลงาน ส่วนการทำงานเป็นทีมคือการนำผลงานทั้งหมดของทีมจะได้ผลงานที่มากกว่าของแต่ล่ะคน

2. ทักษะที่ได้/ความรู้ที่ได้

  1.ทักษะการสร้าง blogger ด้วยตัวเอง
  2. ทักษะการค้นหาความหมายของแต่ละคำ โดยที่มามีความหลากหลาย
  3. ทักษะการนำข้อมูลที่ได้จากต่างที่มา นำมาสรุปตามความเข้าใจของเรา
  4. ทราบถึงความหมายของวัฒนธรรม  นวัตกรรม กลุ่ม ทีม ความแตกต่างระหว่าง กลุ่ม และ ทีม
  5.มีความรับผิดชอบต่อตนเอง

3. ภาพ/วิดิโอประกอบ








    4.สรุป

         จากการทำกิจกรรมการเรียนในสัปดาห์ที่1 วันที่ 12เดือนมิถุนายน 2560 ได้ความรู้และทักษะหลายด้าน ได้แก่
 1.ทักษะการสร้าง blogger ด้วยตัวเอง
 2. ทักษะการค้นหาความหมายของแต่ละคำ โดยที่มามีความหลากหลาย
 3. ทักษะการนำข้อมูลที่ได้จากต่างที่มา นำมาสรุปตามความเข้าใจของเรา
 4. ทราบถึงความหมายของวัฒนธรรม  นวัตกรรม กลุ่ม ทีม ความแตกต่างระหว่าง กลุ่ม และ ทีม
 5.การมีความรับผิดชอบ
และทราบถึงเนื้อหาเพิ่มเติม นั่นคือ 
    วัฒนธรรม หมายถึง   เครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยเพื่อความเจริญงอกงาม และสืบต่อกันมา
    นวัตกรรม หมายถึง การความคิด และปฏิบัติสิ่งใหม่ๆ หรือการนำของเดิมมาพัฒนาดัดแปลง ให้ทันสมัยและมีผลดียิ่งขึ้น 
    ความหมายของ "กลุ่ม"และ "ทีม"
        "กลุ่ม" (Group) คือ การรวมตัวกันของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เมื่อใดที่มีการรวมตัวกัน กลุ่มย่อมเกิดขึ้นแล้ว ส่วนใหญ่การรวมตัวกันเกิดจากความเหมือนกันในด้านต่างๆ เช่น ความสนใจ อุปนิสัย หรือด้วยเหตุปัจจัยต่างๆที่ทำให้เกิดการรวมตัวกัน อาจมีเป้าหมายเฉพาะหรือไม่มีก็ได้
        "ทีม"  หมายถึง  การรวมตัวตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน ผูกพันกัน มีจุดมุ่งหมาย เป้าหมายเดียวกันและต้องเป็นเป้าหมายที่เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์ 
       ความแตกต่างระหว่างคำว่า "กลุ่ม" และ "ทีม"   
 การทำงานเป็นกลุ่ม คือการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบของแต่ล่ะคน แล้วนำมาตัดสินใจ ลงไปในผลงาน ส่วนการทำงานเป็นทีมคือการนำผลงานทั้งหมดของทีมจะได้ผลงานที่มากกว่าของแต่ล่ะคน 



แฟ้มสะสมงาน
วันที่19มิถุนายน 2560
(สัปดาห์ที่2)
1)เนื้อหา/กิจกรรมที่ทำในสัปดาห์นั้นๆ
        ลักษณะ ความสำคัญของภาษาและวัฒนธรรม จากแหล่งข้อมูล10แหล่ง จากที่อาจารย์สืบค้นมาให้ ทำความเข้าใจความหมายของข้อมูลแต่ละที่มาที่ต่างกัน แล้วนำมารวบรวมเป็นความหมาย ตามความเข้าใจของนักศึกษา นั่นคือ
  ภาษา หมายถึง ถ้อยคำที่มนุษย์ใช้พูดหรือเขียนเพื่อสื่อความหมายระหว่างบุคคล
  ลักษณะ คือ 1. ใช้เสียงสื่อความหมาย
                      2. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง
                      3. ภาษาทั่วโลกมีความคล้ายคลึงและแตกต่างกันความสำคัญ คือ
                          1. ภาษาช่วยดำรงสังคม
                          2.ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล
                          3.ช่วยให้มนุษย์พัฒนา
                          4.ช่วยกำหนดอนาคต
                         
วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากการเรียนรู้ ใช้ในการควบคุมพฤติกรรมและการดำรงชีวิตเพื่อให้เกิดความเจริญงอกงาม
ลักษณะ คือ            
                     1. เกิดจากการเรียนรู้
                     2.เป็นมรดกทางสังคม
                     3.เป็นแบบแผนการดำรงชีวิตความสำคัญ  คือ
                           1.แสดงให้เห็นความแตกต่างของแต่ล่ะบุคคล
                           3.ทำให้เห็นความแตกต่างของคนและสัตว์
2)ทักษะที่ได้/ความรู้ที่ได้

1.ทักษะการคิดวิเคราะห์ และการใช้เหตุผลเพื่อรวบรวมข้อมูล

2.มีความคิดสร้างสรรค์ ในการออกแบบแผนผังมโนทัศน์
3.ทักษะการนำเสนอข้อมูล
3)ภาพ/วิดีโอประกอบ



4)สรุป

           จากกิจกรรมการรวบรวมความหมาย ลักษณะ ความสำคัญของภาษาและวัฒนธรรม จากแหล่งข้อมูล10แหล่ง จากที่อาจารย์สืบค้นมาให้ ทำความเข้าใจความหมายของข้อมูลแต่ละที่มาที่ต่างกัน แล้วนำมารวบรวมเป็นความหมาย ตามความเข้าใจของนักศึกษา

ภาษา หมายถึง ถ้อยคำที่มนุษย์ใช้พูดหรือเขียนเพื่อสื่อความหมายระหว่างบุคคล
  ลักษณะ คือ 
                      1. ใช้เสียงสื่อความหมาย
                      2. ภาษามีการเปลี่ยนแปลง
                      3. ภาษาทั่วโลกมีความคล้ายคลึงและแตกต่างกัน
วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากการเรียนรู้ ใช้ในการควบคุมพฤติกรรมและการดำรงชีวิตเพื่อให้เกิดความเจริญงอกงาม
ลักษณะ คือ 
                     1. เกิดจากการเรียนรู้
                     2.เป็นมรดกทางสังคม
                     3.เป็นแบบแผนการดำรงชีวิตความสำคัญ  คือ 
ทำให้นักศึกษาการคิดวิเคราะห์ และการใช้เหตุผล   ความคิดสร้างสรรค์ ในการออกแบบแผนผังมโนทัศน์ การนำเสนอข้อมูล




แฟ้มสะสมงาน
(สัปดาห์ที่3)
วันที่26มิถุนายน 2560

1)เนื้อหา/กิจกรรมที่ทำในสัปดาห์นั้นๆ
     ระดับของภาษา
     การใช้ภาษาขึ้นอยู่กับกาลเทศะ สถานการณ์ สภาวะแวดล้อม และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ซึ่งอาจแบ่งภาษาเป็นระดับต่างๆได้หลายลักษณะ เช่น (ภาษาระดับที่เป็นแบบแผนและไม่เป็นแบบแผน),(ภาษาระดับพิธีการ ระดับกึ่งพิธีการ ระดับไม่เป็นทางการ) ในชั้นเรียนนี้ เราจะชี้ลักษณะสำคัญของภาษาเป็น 5 ระดับ ดังนี้
  1. ระดับพิธีการ ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ได้แก่ การประชุมรัฐสภา การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธีมอบปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร การกล่าวสดุดีหรือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจให้ประจักษ์ในคุณความดี การกล่าวปิดพิธี เป็นต้น ผู้ส่งสารระดับนี้มักเป็นคนสำคัญสำคัญหรือมีตำแหน่งสูง ผู้รับสารมักอยู่ในวงการเดียวกันหรือเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารเป็นผู้กล่าวฝ่ายเดียว ไม่มีการโต้ตอบ ผู้กล่าวมักต้องเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์มาล่วงหน้าและมักนำเสนอด้วยการอ่านต่อหน้าที่ประชุม
   2. ภาษาระดับทางการ ใช้บรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในที่ประชุมหรือใช้ในการเขียนข้อความที่ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ หนังสือที่ใช้ติดต่อกับทางราชการหรือในวงธุรกิจ ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักเป็นบุคคลในวงอาชีพเดียวกัน ภาษาระดับนี้เป็นการสื่อสารให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยยึดหลักประหยัดคำและเวลาให้มากที่สุด
   3. ภาษาระดับกึ่งทางการ คล้ายกับภาษาระดับทางการ แต่ลดความเป็นงานเป็นการลงบ้าง เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเดียวกัน มีการโต้แย้งหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นระยะๆ มักใช้ในการประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน ข่าว บทความในหนังสือพิมพ์ เนื้อหามักเป็นความรู้ทั่วไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆ รวมถึงการปรึกษาหารือร่วมกัน
   4. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่เกิน 4-5 คนในสถานที่และกาละที่ไม่ใช่ส่วนตัว อาจจะเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกัน การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน การรายงานข่าวและการเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ โดยทั่วไปจะใช้ถ้อยคำสำนวนที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันมากกว่าภาษาระดับทางการหรือภาษาที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม เนื้อหาเป็นเรื่องทั่วๆไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆรวมถึงการปรึกษาหารือหรือร่วมกัน
   5. ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับนี้มักใช้กันในครอบครัวหรือระหว่างเพื่อนสนิท สถานที่ใช้มักเป็นพื้นที่ส่วนตัว เนื้อหาของสารไม่มีขอบเขตจำกัด มักใช้ในการพูดจากัน ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรยกเว้นนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอนที่ต้องการความเป็นจริง (การแบ่งภาษาดังที่กล่าวมาแล้วมิได้หมายความว่าแบ่งกันอย่างเด็ดขาด ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล้ำกับอีกระดับหนึ่งก็ได้)
ภาษาอังกฤษในชั้นเรียนก่อนการจัดการเรียนการสอน
1. การทักทาย (Greeting)
ในการทักทายนักเรียน คุณครูสามารถใช้ภาษาอังกฤษพูดทักทายนักเรียนได้อย่างหลากหลาย
ไม่น่าเบื่อ ด้วยคำและประโยคที่สั้นๆ ง่ายๆ เช่น
 Hi หรือ Hello
 Good morning, everybody.
 How are you class?
 How’s it going?
 How have you been?
 How are you getting along?
 What’s up?


          องค์ประกอบที่สำคัญของการสื่อสาร มี 4 ประการ ดังนี้
1. ผู้ส่ง ( Source) ต้องเป็นผู้ที่มีทักษะความชำนาญในการสื่อสาร โดยมีความสามารถในการเข้ารหัส (encode) เนื้อหาข่าวสาร มีเจตคติที่ดีต่อผู้รับเพื่อผลในการสื่อสาร มีความรู้อย่างดีเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่จะส่ง และควรจะมีความสามารถในการปรับระดับของข้อมูลนั้นให้เหมาะสมและง่ายต่อระดับ ความรู้ของผู้รับ ตลอดจนพื้นฐานทางสังคม
และวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับผู้รับด้วย
2. ข้อมูลข่าวสาร ( Message) เกี่ยวข้องทางด้านเนื้อหา สัญลักษณ์ และวิธีการส่งข่าวสาร
3. ช่องทางในการส่ง ( Channel) หมายถึงการที่จะส่งข่าวสารโดยการให้ผู้รับได้รับข่าวสารข้อมูลโดยผ่านประสาท สัมผัสทั้ง 5หรือเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง คือ การได้ยิน การดู การสัมผัส การลิ้มรส หรือการได้กลิ่น
4. ผู้รับ ( Receiver) ต้องเป็นผู้มีทักษะความชำนาญในการสื่อสารโดยมีความสามารถใน “ การถอดรหัสสาร ” (decode) เป็นผู้ที่มีเจตคติ ระดับความรู้ และพื้นฐานทางสังคม วัฒนธรรม เช่นเดียวหรือคล้ายคลึงกันกับผู้ส่งสารจึงจะทำให้การสื่อความหมายหรือการ สื่อสารนั้นได้ผลตามลักษณะของ S M C R Model นี้ มีปัจจัยหลักที่มีความสำคัญต่อขีดความสามารถของผู้ส่งและผู้รับ ที่จะทำให้การสื่อความหมายนั้นได้ผลสำเร็จหรือไม่เพียงใด ได้แก่

1. ทักษะในการสื่อสาร ( Communication Skills) หมายถึง ทักษะซึ่งทั้งผู้ส่งและผู้รับควรจะมีความชำนาญในการส่งและการรับสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจกันได้อย่างถูกต้อง เช่น ผู้ส่งต้องมีความสามารถในการเข้ารหัส มีการพูด โดยการใช้ภาษาพูดที่ถูกต้อง ใช้คำพูดที่ชัดเจน ฟังง่าย มีการแสดงสีหน้าหรือท่าทางที่เข้ากับการพูด ทำนองลีลาในการพูด เป็นจังหวะน่าฟัง หรือการเขียนด้วยถ้อยคำสำนวนที่ถูกต้องสละสลวยน่าอ่าน ส่วนผู้รับก็ต้องมีความสามารถในการถอดรหัส และมีทักษะที่เหมือนกันกับผู้ส่งสาร โดยมีทักษะการฟังที่ดี ฟังภาษาที่ผู้ส่งพูดมารู้เรื่อง หรือสามารถอ่านข้อความที่ส่งมา นั้นได้ เป็นต้น
2. เจตคติ ( Atitudes) เป็นเจตคติของผู้ส่งและผู้รับซึ่งมีผลต่อการสื่อสาร ถ้าผู้ส่งและผู้รับมีเจตคติที่ดีต่อกัน ก็จะทำให้การสื่อสารได้ผลดี ทั้งนี้เพราะเจตคติย่อมเกี่ยวโยงไปถึง
การยอมรับซึ่งกันและกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับด้วย เช่น ถ้าผู้ฟังมีความนิยมชมชอบในตัวผู้พูดก็มักจะมีความเห็นที่สอดคล้องตามไปได้ ง่ายกับผู้พูด แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้ฟัง
มีเจตคติที่ไม่ดีต่อผู้พูดก็จะฟังแล้วไม่เห็นชอบด้วย และมีความเห็นขัดแย้งในสิ่งที่พูดมานั้น หรือถ้าทั้งสองฝ่ายมีเจตคติที่ไม่ดีต่อกันท่วงทำนองหรือน้ำเสียงในการพูดก็ อาจจะห้วนห้าว แต่ถ้ามีเจตคติที่ดีต่อกันก็มักจะพูดกันด้วยความไพเราะน่าฟัง
3. ระดับความรู้ ( Knowledge Levels) ถ้าผู้ส่งและผู้รับมีระดับความรู้ที่เท่าเทียมกัน ก็จะทำให้การสื่อสารนั้นลุล่วงไปด้วยดี แต่ถ้าหากความรู้ของผู้ส่งและผู้รับมีรับดับ
ที่แตกต่างกันย่อมจะต้องมีการปรับความยากง่ายของข้อมูลที่จะส่งในด้านความ ยากง่ายของภาษา และถ้อยคำ สำนวนที่ใช้ เช่น การไม่ใช้คำศัพท์ทางวิชาการ ภาษาต่างประเทศ หรือถ้อยคำยาวๆ สำนวนที่สลับซับซ้อน ทั้งนี้เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อความเข้าใจ ตัวอย่างเช่น การที่หมอรักษาคนไข้แล้ว พูดแต่คำศัพท์ทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคต่างๆ ย่อมจะทำให้คนไข้ไม่เข้าใจว่าตนเป็นโรคอะไรแน่ หรือการที่พัฒนากรจากส่วนกลางออกไปพัฒนาหมู่บ้านต่างๆในชนบท เพื่อให้คำแนะนำทางด้านวิชาการเกษตรและเลี้ยงสัตว์แก่ชาวบ้าน ถ้าพูดแต่ศัพท์ทางวิชาการโดยไม่อธิบายด้วยถ้อยคำ หรือภาษาที่ง่ายๆ ก็จะทำให้ชาวบ้านไม่สามารถเข้าใจหรืออาจเข้าใจผิดไปได้
4. ระบบสังคมและวัฒนธรรม ( Socio - Culture System) ระบบสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละชาติเป็นสิ่งที่มีส่วนกำหนดพฤติกรรมของประชาชน ในชาตินั้น ซึ่งเกี่ยวข้องไปถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติ สังคมและวัฒนธรรมในแต่ละชาติย่อมมีความแตกต่างกันไป เช่นการให้ความเคารพต่อผู้อาวุโส หรือวัฒนธรรมการกินอยู่ต่างๆ ดังนั้นในการติดต่อสื่อสารของบุคคลต่างชาติต่างภาษากัน จึงจะต้องมีการศึกษาระบบสังคมและวัฒนธรรมของบุคคลในแต่ละชาติ เพื่อการปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสม ทั้งนี้ย่อมรวมไปถึงกฏข้อบังคับทางศาสนาของแต่ละศาสนาด้วย
2)ทักษะที่ได้/ความรู้ที่ได้
1.เข้าใจในระดับภาษาว่าระดับไหนควรพูดกับใคร ระดับไหนไม่สมควรพูด
2.เข้าใจหลักการพูดภาษาอังกฤษ ในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษในชั้นเรียนสำหรับครูผู้สอน
3.เข้าการกล่าวแนะนำตัวเองในสถานที่ใหม่ หรือโรงเรียนใหม่สำหรับครูผู้สอน
4.ทักษะการคิด วิเคราะห์ เพื่อพิจารณา ปรับเปลี่ยน Models of communication  เข้ากับสาขาวิชาการสอนวิทยาศาสตร์
3)ภาพ/วิดีโอประกอบ



   4)สรุป

 สรุปตาม SMCR ของเบอร์โล ( Berlo) S-M-C-R communication in business
     1. ผู้ส่ง (Source) ต้องเป็นผู้ที่มีทักษะความชำนาญในการสื่อสารโดยมีความสามารถในการเข้ารหัส (encode) เนื้อหาข่าวสาร มีเจตคติที่ดีต่อผู้รับเพื่อผลในการสื่อสารมีความรู้อย่างดีเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่จะส่งและควรจะมีความสามารถในการปรับระดับของข้อมูลนั้นให้เหมาะสมและง่ายต่อระดับ ความรู้ของผู้รับตลอดจนพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับผู้รับด้วย
   2. ข้อมูลข่าวสาร (Message) เกี่ยวข้องทางด้านเนื้อหา สัญลักษณ์ และวิธีการส่งข่าวสาร
  3. ช่องทาในการส่ง (Channel) หมายถึงการที่จะส่งข่าวสารโดยการให้ผู้รับได้รับข่าวสารข้อมูลโดยผ่านประสาท สัมผัสทั้ง 5หรือเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง คือ การได้ยิน การดู การสัมผัส การลิ้มรส หรือการได้กลิ่น
 4. ผู้รับ ( Receiver) ต้องเป็นผู้มีทักษะความชำนาญในการสื่อสารโดยมีความสามารถใน การถอดรหัสสาร ” (decode) เป็นผู้ที่มีเจตคติ ระดับความรู้ และพื้นฐานทางสังคม วัฒนธรรม เช่นเดียวหรือคล้ายคลึงกันกับผู้ส่งสารจึงจะทำให้การสื่อความหมายหรือการ สื่อสารนั้นได้ผล



แฟ้มสะสมผลงาน
สัปดาห์ที่4
(3 กรกฎาคม 2560)

1)เนื้อหา/กิจกรรมที่ทำในสัปดาห์นั้นๆ


กิจกรรม  คือ 1) แนะนำตัวเองหน้าเสาธงหรือหน้าห้องเรียน

                     2) แต่งประโยคในระดับภาษาที่แตกต่างกัน
เนื้อหา คือ 
1. นายธนากร โพธิ์งาม 59110356
วันนี้เรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่องเวกเตอร์และสเกลาร์ (ภาษากึ่งทางการ) 
มื่อนี้เรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่องเวกเตอร์และสเกลาร์ เว้ยเฮ้ยย. (ภาษาปาก)
วันนี้เรียนวิชาฟิสิกส์ เรียนเรื่องเวกเตอร์และสเกลาร์ (ทางการ)

2. นางสาวนพมาศ ใจจงหวัง 59110352
ฉันและเพื่อนขี่มอไซด์มามหาลัยซิ่งมาก (ภาษาปาก) 
ฉันและเพื่อนเดินทางมาเรียนที่มหาวิทยาลัยโดยรถจักรยานยนต์อย่างรวดเร็ว(ภาษาทางการ)
ฉันกับเพื่อนๆเดินทางมาเรียนที่มหาวิทยาลัยโดยรถจักรยานยนต์อย่างรวดเร็ว (กึ่งทางการ)

3. นางสาวนุชจิรา จันทะไทย 59110351
ดิฉันกำลังศึกษาครูวิทย์ทั่วไปอยู่ในมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ในจังหวัดนครราชสีมา (ภาษาทางการ )
 
ดิฉันศึกษาในคณะศึกษาศาสตร์สาขาการสอนวิทย์ศาสตร์ทั่วไปที่มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล จังหวัดนครราชสีมา (แบบแผน)
ฉันกำลังเรียนครูวิทย์ทั่วไปอยู่ ม.วงษ์ ในจังหวัดนครราชสีมา (ภาษาปาก)

4. นายชัชนันท์ จันทร์ภิรมย์ 56110703
วันนี้เจอผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวดูสวยและทันสมัยมาก (ภาษาทางการ)
วันนี้พบผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวค่อนค้างดูดีและทันสมัยมาก (กึ่งทางการ)
มือนี้พบผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวเกือบดูดีและทันสมัยมาก (ภาษาปาก)

5. นางสาวปริม ยิ้มจอหอ 59110299
วันนี้ไปจัดชาบูมา (ภาษาปาก)
วันนี้ไปรับประทานชาบูมา (ทางการ)
วันนี้ไปกินชาบูมา (กึ่งทางการ)


2)ทักษะที่ได้/ความรู้ที่ได้

            1 ทักษะความกล้าแสดงออกในการนำเสนอ
            2 เรียนรู้ภาษาในระดับต่างๆ
            3 สามารถนำระดับภาษานั้นๆมาแต่งเป็นระดับภาษาอื่นที่แตกต่างได้
            4 สามารถนำภาษามาใช้ในชีวิตประจำวันได้


3)ภาพ/วิดีโอประกอบ








4)สรุป
จากการเรียนในสัปดาห์นี้  พบว่า 
       1)  การใช้ภาษาอังกฤษในชั้นเรียน ภาษาอังกฤษในชั้นเรียน คือ ประโยคหรือสำสำนวนง่ายๆ ทีครูหลายสามารถใช้กับนักเรียน และสำหรับคุณครูที่แม้ไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษเองก็สามารถนำไปฝึกใช้กับนักเรียนได้ 
    2)  ระดับของภาษา หมายถึง ความลดหลั่นของถ้อยคำและการเรียบเรียงถ้อยคำที่ใช้โดยพิจารณาตาม โอกาส หรือ กาลเทศะ ความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลที่เป็นผู้สื่อสาร และ ตามเนื้อหาที่สื่อสาร การศึกษาเรื่องระดับของภาษาเป็นสิ่งสำคัญเพราะทำให้บุคคลแต่ละกลุ่มเข้าใจภาษาของกันและกัน ไม่เกิดปัญหาด้านการสื่อสาร และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การใช้ภาษา เพื่อให้ผู้ใช้ภาษาสามารถเลือกใช้ภาษา ในสถานการณ์ ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
      1. ภาษาแบบเป็นทางการ ภาษาที่ใช้อย่างเป็นทางการมีลักษณะเป็นพิธีการ ถูกต้องตาม
แบบแผนของภาษาเขียน แบ่งออกเป็น
   1.1 ภาษาระดับพิธีการ เป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบ รูปประโยคถูกต้องตามหลัก ไวยากรณ์ มีความประณีต งดงาม อาจใช้ประโยคที่ซับซ้อนและใช้คำระดับสูง ภาษาระดับนี้จะใช้ในโอกาส สำคัญ ๆ เช่น งาน ราชพิธี วรรณกรรมชั้นสูง เป็นต้น 
   1.2 ภาษาระดับมาตรฐานราชการ หรือ อาจเรียกว่า ภาษาทางการ / ภาษาราชการ เป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบ รูปประโยคถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เน้นความชัดเจน ตรงประเด็นเป็นสำคัญ ใช้ในโอกาส สำคัญ ที่เป็นทางการ เช่นหนังสือราชการวิทยานิพนธ์ รายงานทางวิชาการ การกล่าวปราศรัย การกล่าวเปิดงานสำคัญ ๆ เป็นต้น
    2. ภาษาแบบไม่เป็นทางการ ภาษาที่ไม่เคร่งครัดตามแบบแผน มักใช้ในการสื่อสารทั่วไป
ในชีวิตประจำวัน หรือ โอกาสทั่วๆ ไปที่ไม่เป็นทางการ แบ่งเป็น
     2.1 ภาษาระดับกึ่งทางการ เป็นภาษาที่ยังคงความสุภาพแต่ไม่เคร่งครัดแบบภาษาทางการบางครั้ง อาจใช้ภาษาระดับสนทนามาปนอยู่ด้วย มันใช้ในการติดต่อธุรกิจการงาน หรือใช้สื่อสารกับบุคคลที่ไม่คุ้นเคย หรือ มีคุณวุฒิ และ วัยวุฒิสูงกว่า หรือการบรรยาย การประชุมต่างๆ รวมทั้งใช้ในงานเขียนที่ไม่เป็นทางการเพื่อให้งานเขียนนั้นดูไม่เครียดจนเกินไป เช่น สารคดี บทวิจารณ์ เกี่ยวกับบันเทิงคดีต่างๆ เป็นต้น
    2.2 ภาษาระดับสนทนา เป็นภาษาที่ใช้สนทนาโต้ตอบกับบุคคลที่รู้จักในสถานที่หรือเวลาที่ไม่ เป็นการส่วนตัว หรือสนทนากับบุคคลที่ยังไม่คุ้นเคย รวมทั้งใช้เจรจาซื้อขายทั่วไป และการประชุมที่ไม่เป็นทางการ ภาษาที่ใช้มักมีรูปประโยคง่ายๆ ที่สามารถเข้าใจทันที แต่ยังคงความสุภาพ เช่น ภาษาที่ใช้ในการรายงานข่าวโทรทัศน์ การเจรจาในเชิงธุระทั่วไป เป็นต้น
     2.3 ภาษาระดับกันเองหรือภาษาปาก เป็นภาษาพูดที่ใช้สนทนากับบุคคลที่สนิทคุ้นเคยมักใช้ สถานที่ส่วนตัว หรือ ในโอกาสที่ต้องการความสนุกสนานครื้นเครง หรือ การทะเลาะวิวาท ภาษาที่ใช้เป็นภาษาพูดที่ไม่เคร่งครัด อาจมีคำตัด คำสแลง คำต่ำ คำหยาบปะปน โดยทั่วไปไม่นิยมใช้ในภาษาเขียน ยกเว้นงานเขียนประเภท เช่น เรื่องสั้น นวนิยาย ภาษาข่าวหนังสือพิมพ์ การเขียนบทละคร ฯลฯ 



แฟ้มสะสมงาน
สัปดาห์ที่ 5


                *** หยุดชดเชยวันอาสาฬหบูชาไม่มีการจัดการเรียนการสอน***


แฟ้มสะสมผลงาน
สัปดาห์ที่6
(วันที่ 17 ก.ค. 60)

1)กิจกรรม/เนื้อหาในสัปดาห์นั้นๆ

 กิจกรรม  คือ  1)นำเสนอและแนะนำตัวหน้าห้อง
                     2)ทดสอบย่อยและgahoot  
เนื้อหา  คือ 
1) การพูดแนะนำตนเป็นการพูดที่แทรกอยู่กับการพูดลักษณะต่าง ๆ เป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะทำให้ผู้ฟังมีความรู้เกี่ยวกับผู้พูด การแนะนำตนจะให้รายละเอียดแตกต่างกันไปตามลักษณะการพูดแต่ละประเภทซึ่งสามารถสรุป ได้ดังนี้ 1. การพูดแนะนำตนในกลุ่มของนักเรียน เป็นการพูดที่มีจุดประสงค์เพื่อทำความรู้จักกันในหมู่เพื่อน หรือแนะนำตัวในขณะทำกิจกรรม ควรระบุรายละเอียดสำคัญ คือ 
- ชื่อและนามสกุล  
-รายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษา  
-ที่อยู่ปัจจุบันและภูมิลำเนาเดิม 
 -ความสามารถพิเศษ  
-กิจกรรมที่สนใจ
-ต้องการมีส่วนร่วมปฏิบัติกิจกรรม 
2. การพูดแนะนำตนเพื่อเข้าปฏิบัติงาน หรือรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา ควรระบุถึงประเด็นสำคัญ คือ  
-ชื่อและนามสกุล  
-รายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษา
- ตำแหน่งหน้าที่ที่จะเข้ามาปฏิบัติ
- ระยะทางที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่
3. การแนะนำบุคคลอื่นในงานสังคม หรือในที่ประชุม โดยให้รายละเอียด ดังนี้
 - ชื่อและนามสกุลของผู้ที่เราแนะนำ 
-  ความสามารถของผู้ที่เราแนะนำ
 - ไม่ควรแนะนำอย่างยืดยาว และไม่นำเรื่องส่วนตัวที่จะทำให้ผู้อื่นอับอาย หรือ ตะขิดตะขวงใจมาพูด
 - การแนะนำบุคคลให้ผู้อื่นรู้จักต้องใช้คำพูดเพื่อสร้างไมตรีที่ดีระหว่างบุคคลทั้งสองฝ่าย
        
2)ทักษะ/ความรูที่ได้
1)ทักษะการแนะนำตัวเองในงานสังคมที่ใหม่ๆ
2)วัดความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เรียนมาโดยการทดสอบ
3)สามรถตอบคำถามใน gahoot ในเวลาที่จำกัดได้เป็นอย่างดี
4)ความมีไหวพริบ  รอบรู้  รอบคอบ

3)ภาพ/วิดีโอประกอบ



4) สรุป



   ภาษาอังกฤษในชั้นเรียน คือ ประโยคหรือสำสำนวนง่ายๆ ทีครูสามารถนำไปฝึกใช้กับนักเรียนได้ ไม่ว่าท่านจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ หรือการงานอาชีพและเทคโนโลยี ท่านก็ควรใช้ภาษาอังกฤษกับนักเรียนเพื่อฝึกให้ทั้งท่านเองและนักเรียนก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน 




แฟ้มสะสมผลงาน
สัปดาห์ที่7
(24 ก.ค 2560)

1) เนื้อหา/กิจกรรมในสัปดาห์นั้นๆ





ที่มา https://www.google.co.th/search?



1 customers ลูกค้า        ลูกค้าใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อสินค้า
2 problem  ปัญหา         คำถามสำหรับการสอบถามการพิจารณาหรือการแก้ปัญหา
3 engine    เครื่องยนต์     เครื่องยนต์ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
4 define     กำหนด          สิ่งที่กำหนดให้เราเป็นมนุษย์
5 support  สนับสนุน        สนับสนุนการเล่นที่ยุติธรรม
6 business ธุรกิจ             สิ่งที่ดีที่สุดในธุรกิจ 
7 service   บริการ            อาชีพหรือหน้าที่ของการให้บริการ
8 existing  ที่มีอยู่            ความคิดแปลก ๆ มีอยู่ในใจของเขา
9 creativity ความคิดสร้างสรรค์   ความสามารถในการสร้างความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะ
10 process  กระบวนการ      กระบวนการชีวิตเช่นการหายใจ

 novelty
Rood   novelties
prefix  no
suffix  y

 Innovation
Rood   innovate
prefix  in
suffix   ion

application
Rood  applicability
prefix  ap
suffix  tion

existing
Rood  existent
prefix  ex
suffix  ing

institution
Rood  institute
prefix  in
suffix  ion

including
Rood  include
prefix  in
suffix  ing

becoming
Rood  become
prefix  be
suffix  ing

organizations

root = organization
prefix = o
suffix = s


Employees (พนักงาน)
    Root = Employee
    Prefix = e
    Suffix = s

 According (เห็นด้วย)
     Root = Accord
     Prefix = a
     Suffix = -ing


2)ทักษะที่ได้ ความรู้ที่ได้
    1  รู้คำศัพท์ใหม่เกี่ยวกับนวัตกรรมและนำไปใช้ในวิชาอื่นได้
    2  การค้นคว้าความหมายของคำศัพท์ทั้งจากอังกฤษเป็นอังกฤษและอังกฤษเป็นไทย
    3  เทคนิคการเดาความหมายของคำศัพท์
    4  ทักษะการใช้โปรแกรมแปลภาษา


3)ภาพ/วิดีโอประกอบ



4)สรุป
    การอ่านมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา การอ่านทำให้รู้ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั่วโลก ผู้อ่านมีความสุข มีความหวัง และมีความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง คือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ท่าให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และมีความอยากรู้อยากเห็น 



แฟ้มสะสมงาน
สัปดาห์ที่8

(วันที่ 31 ก.ค. 60)


1.เนื้อหา/กิจกรรม ที่ทำในสัปดาห์นั้นๆ       การแปลความหมายโดยรวมของบทความเกี่ยวกับเทคโนโลยี


2.ทักษะที่ได้ ความรู้ที่ได้
      การทำงานเป็นกลุ่มการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่ม
      การแปลความหมายโดยรวมของบทความ
       ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ
3. ภาพ/วีดีโอประกอบ






4.สรุป

·      การเดาความหมายของคำศัพท์และแปลออกมาโดยดูตามบริบทของเนื้อความทั้งหมดของบทความว่ามีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี

แฟ้มสะสมงาน
สัปดาห์ที่9
(วันที่ 8 ส.ค.60 )


1)กิจกรรม/เนื้อหาในสัปดาห์นั้นๆ 
    1. ใหนักศึกษาค้นคว้า หาหมวดคําศัพทที่นอกเหนือจากเอกสารประกอบการสอน
    2. นําเสนอเปนกลุม
    3. การนับเลข


ประเทศสิงคโปร์
ชื่อทางการ สาธารณรัฐสิงคโปร์
เมืองหลวง สิงคโปร์
ภาษา ภาษาทางราชการ คือ ภาษามาเลย์ จีนกลาง ทมิฬ และอังกฤษ สิงคโปร์ส่งเสริมให้ประชาชนพูด 2 ภาษา โดยเฉพาะจีนกลาง ในขณะที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการติดต่องานและในชีวิตประจำวัน

ศาสนา 51% นับถือศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋าและขงจื๊อ 15% นับถือศาสนาอิสลาม 4% นับถือศาสนาฮินดู 15% นับถือศาสนาคริสต์ และร้อยละที่เหลือคือลัทธิอื่นๆ

การนับเลข
ling2 หลิง = 0
yi1 อี = 1
er4 เอ้อร์ = 2
san1 ซาน = 3
si4 สื้อ = 4
wu3 อู่ (หวู่) = 5
liu4 ลิ่ว = 6
qi1 ชี = 7
ba1 ปา = 8
jiu3 จิ่ว = 9
shi2 สือ = 1

2.ทักษะที่ได้ ความรู้ที่ได้
   1 ได้รู้จักภาษาและวัฒนธรรมประเทศสิงคโปร์
   2  ทักษะการแปลภาษา



3)ภาพ/วิดีโอประกอบ





ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ


4)สรุป



ชื่อทางการ สาธารณรัฐสิงคโปร์
เมืองหลวง สิงคโปร์
ภาษา ภาษาทางราชการ คือ ภาษามาเลย์ จีนกลาง ทมิฬ และอังกฤษ สิงคโปร์ส่งเสริมให้ประชาชนพูด 2 ภาษา โดยเฉพาะจีนกลาง ในขณะที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการติดต่องานและในชีวิตประจำวัน

ศาสนา 51% นับถือศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋าและขงจื๊อ 15% นับถือศาสนาอิสลาม 4% นับถือศาสนาฮินดู 15% นับถือศาสนาคริสต์ และร้อยละที่เหลือคือลัทธิอื่นๆ และการนับเลขเป็นภาษาจีน





แฟ้มสะสมผลงาน
สัปดาห์ที่ 10
                      ***วันหยุดไม่มีการจัดการเรียนการสอนเนื่องจากหยุดชดเชยวันแม่***

แฟ้มสะสมงาน
สัปดาห์ที่11
(21 สิงหาคม2560) 



1)กิจกรรม/เนื้อหาในสัปดาห์นั้นๆ
  นำเสนอข้อมูลประเทศสิงคโปร์ในรูปแบบ power point 


2)ทักษะ/ความรู้ที่ได้
1)ทราบข้อมูลของประเทศสิงคโปร์
2)การนำเสนองานหน้าชั้นเรียน



3)ภาพ/วิดีโอประกอบ




                                      

4)สรุป

ชื่อทางการ สาธารณรัฐสิงคโปร์
เมืองหลวง สิงคโปร์
ภาษา ภาษาทางราชการ คือ ภาษามาเลย์ จีนกลาง ทมิฬ และอังกฤษ สิงคโปร์ส่งเสริมให้ประชาชนพูด 2 ภาษา โดยเฉพาะจีนกลาง ในขณะที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการติดต่องานและในชีวิตประจำวัน
ศาสนา 51% นับถือศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋าและขงจื๊อ 15% นับถือศาสนาอิสลาม 4% นับถือศาสนาฮินดู 15% นับถือศาสนาคริสต์ และร้อยละที่เหลือคือลัทธิอื่นๆ

การนับเลข
 ling2 หลิง = 0
 yi1 อี = 1
 er4 เอ้อร์ = 2
 san1 ซาน = 3
 si4 สื้อ = 4
 wu3 อู่ (หวู่) = 5
 liu4 ลิ่ว = 6
 qi1 ชี = 7
 ba1 ปา = 8
 jiu3 จิ่ว = 9
 shi2 สือ = 1

สถานที่ท้องเที่ยว
ปินไฮ วาน  ชาทาน
เคอล่า หม่าโทว

อาหาร 
ไฮเหนิน จีฟาน
เล้อ ชา




แฟ้มสะสมงาน
สัปดาห์ที่12
(28 สิงหาคม  2560)
1.เนื้อหา/กิจกรรมในสัปดาห์นั้นๆ     ทักษะภาษาอังกฤษสำหรับวิชาชีพครู 

คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม (Vocabulary Items Related to Culture) 

        Culture: Culture can be defined as all the ways of life including arts, beliefs and institutions of a population that are passed down from generation to generation. Culture has been called "the way of life for an entire society." As such, it includes codes of manners, dress, language, religion, rituals, games, norms of behavior such as law and morality, and systems of belief as well as the art.

          Cultured:   Showing good taste or manners

        Belief:    1. The mental act, condition, or habit of placing trust or confidence in another:  " My belief in you is as strong as ever."    2. Mental acceptance of and conviction in the truth, actuality, or validity of something:  " His explanation of what happened defies belief."    3. Something believed or accepted as true, especially a particular tenet or a body of tenets accepted by a group of persons.

        Ethics:   A system of accepted beliefs which control behavior, especially such a system based on morals.

      Values:   Beliefs of a person or social group in which they have an emotional investment (either for or against something).  "He has very conservatives values"

       Civilization:   The social process whereby societies achieve an advanced stage of development and organization

      Cultural specificities:   It's interesting to learn about cultural specificities of other countries

      Culturally acceptable:   It isn't culturally acceptable in some countries to blow your nose in public places.

      Cultural conflicts:   We should try hard to avoid cultural conflicts as they are a result of a misunderstanding.

       Cultural stereotypes:   A fixed idea that people have about what someone or something is like, especially an idea that is wrong.   Cultural stereotypes make our understanding of other cultures difficult.

       Cultural diversity:   The fact or quality of cultures of being diverse or different.   Cultural diversity should be considered as a source of enrichment rather a source of conflicts.

       Cultural uniqueness:   Culture/customs which make a country distinctive/different from other countries.

      Cultural misconceptions:   Mistaken thoughts, idea, or notion; misunderstandings about a culture. These are false ideas about a culture resulting from misunderstanding rather than from reality.

       Cultural shock:   A condition of confusion and anxiety affecting a person suddenly exposed to an alien culture or milieu. "The first time she went to Japan, Isabel got a huge culture shock."

       Racial behavior:   A behavior resulting from a belief that race accounts for differences in human character or ability and that a particular race is superior to others (racism or racialism.) " We may limit the danger of racial behavior if there is mutual understanding of different cultures."

        Local culture:   Local culture refer to the culture developed at the local level.

        Global culture:   Global culture refer to the culture developed at the global level through the new information technologies.

        Global village:   The entire world and its inhabitants. The world thought of as being closely connected by modern communication and trade and thus eliminating borders.
         Globalization:   Globalization in its literal sense is the process of transformation of local phenomena into global ones. It can be described as a process by which the people of the world are unified into a single society and function together. This process is a combination of economic, technological, sociocultural and political forces. Globalization is often used to refer to economic globalization, that is, integration of national economies into the international economy through trade, foreign direct investment, capital flows, migration, and the spread of technology.

         Stereotype:   A generalized perception of first impressions. Stereotypes, therefore, can instigate prejudice and false assumptions about entire groups of people, including the members of different ethnic groups, social classes, religious orders, the opposite sex, etc. A stereotype can be a conventional and oversimplified conception, opinion, or image, based on the assumption that there are attributes that members of the "other group" have in common.

2.ความรู้/ทักษะที่ได้รับ
1.การแปลความหมายของคำศัพท์ อังกฤษ-อังกฤษ
2.ความสามัคคี
3.ความรับผิดชอบ

3.ภาพ/วิดีโอประกอบ






                                       


4.สรุป
ครูควรมีทักษะพื้นฐานภาษาอังกฤษในเรื่องของวัฒนธรรม ในด้านต่างๆรู้คำศัพท์  ความหมายเพื่อใช้ในการสื่อสารและประกอบการเรียนการสอน




แฟ้มสะสมงาน
สัปดาห์ที่13
(4กันยายน  2560)



1.เนื้อหา/กิจกรรมในสัปดาห์นั้นๆ

 ความสำคัญของการอ่าน   การอ่านมีความสําคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา การอ่านทําให้รู้ข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั่วโลก ผู้อ่านมีความสุข มีความหวัง และมี ความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง คือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ท่าให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และมีความอยากรู้ อยากเห็น การที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ต้องอาศัยประชาชนที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่ง ความรู้ต่าง ๆ ก็ได้มาจากการอ่านนั่นเอง (ฉวีวรรณ คูหาภินนท์. 2542 : 11) จุดมุ่งหมายของการอ่าน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546, หน้า 9)
1. อ่านเพื่อความรู้ ได้แก่ การอ่านจากหนังสือต่าราทางวิชาการ สารคดีทางวิชาการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านสื่ออีเล็กทรอนิกส์ ควรอ่านอย่างหลากหลาย เพราะความรู้ในวิชาหนึ่งอาจน่าไปช่วยเสริมใน อีกวิชาหนึ่งได้
 2. อ่านเพื่อความบันเทิง ได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทสารคดีท่องเที่ยว นวนิยาย เรื่องสั้น เรื่องแปล การ์ตูน บทประพันธ์ บทเพลง แม้จะเป็นการอ่านเพื่อความบันเทิง แต่ผู้อ่านจะได้ความรู้ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่อง ด้วย
 3. อ่านเพื่อทราบข่าวสารความคิด ได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทบทความ บทวิจารณ์ ข่าวรายงานการ ประชุม ถ้าจะให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต้องเลือกอ่านให้หลากหลาย ไม่เจาะจงอ่านเฉพาะสื่อ ที่น่าเสนอ ตรงกับความคิดของตน เพราะจะท่าให้ได้มุมมอง ที่กว้างขึ้น ช่วยให้มีเหตุผลอื่น ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะห์ได้หลายมุมมองมากขึ้น 4. อ่านเพื่อจุดประสงค์เฉพาะทางแต่ละครั้ง ได้แก่ การอ่านที่ไม่ได้เจาะจง แต่เป็นการอ่านในเรื่องที่ตนสนใจ หรืออยากรู้ เช่น การอ่านประกาศต่าง ๆ การอ่านโฆษณา แผ่นพับ ประชาสัมพันธ์ สลากยา ข่าวสังคม ข่าว

บันเทิง ข่าวกีฬา การอ่านประเภทนี้มักใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่เป็นการอ่านเพื่อให้ได้ ความรู้และนําไปใช้ หรือ น่าไปเป็นหัวข้อสนทนา เชื่อมโยงการอ่าน สู่การวิเคราะห์ และคิดวิเคราะห์ บางครั้งก็อ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้ เกิดประโยชน์ ขั้นตอนการสอนทักษะการอ่าน แบ่งเป็น 3 กิจกรรม คือ 1. กิจกรรมนําเข้าสู่การอ่าน (Pre-Reading)  การที่ผู้เรียนจะอ่านสารได้อย่างเข้าใจ ควรต้องมีข้อมูล บางส่วนเกี่ยวกับสารที่จะได้อ่าน โดยครูผู้สอนอาจใช้กิจกรรมนําให้ผู้เรียนได้มีข้อมูลบางส่วนเพื่อช่วย สร้างความ เข้าใจในบริบท ก่อนเริ่มต้นอ่านสารที่กําหนดให้ 2. กิจกรรมระหว่างการอ่าน (While-Reading) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติในขณะที่อ่านสาร นั้น กิจกรรมนี้มิใช่การทดสอบการอ่าน แต่เป็นการ “ฝึกทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ” กิจกรรมระหว่างการ อ่านนี้ ควรหลีกเลี่ยงการจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติทักษะอื่นๆ เช่น การฟัง หรือ การเขียน อาจจัด กิจกรรมให้พูดโต้ตอบได้บ้างเล็กน้อย เนื่องจากจะเป็นการเบี่ยงเบนทักษะที่ต้องการฝึกไปสู่ทักษะอื่นโดยมิได้ เจตนา   3. กิจกรรมหลังการอ่าน (Post-Reading) เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ ผู้เรียนได้ฝึกการใช้ภาษาในลักษณะทักษะ สัมพันธ์เพิ่มขึ้นจากการอ่าน การฟัง การพูด และการเขียน ภายหลังที่ได้ฝึกปฏิบัติกิจกรรมระหว่างการอ่านแล้ว โดยอาจฝึกเกี่ยวกับ  – การแข่งขันเกี่ยวกับคําศัพท์ สํานวน ไวยากรณ์ จากเรื่องที่ได้อ่าน  - เป็นการตรวจสอบทบทวนความรู้ ความถูกต้องของคําศัพท์ สํานวน โครงสร้างไวยากรณ์  - ฝึกทักษะการฟังการพูดโดยให้ผู้เรียนร่วมกันตั้งคําถามเกี่ยวกับ เนื้อเรื่องแล้วช่วยกันหาคําตอบ สําหรับผู้เรียนระดับสูง อาจให้ พูดอภิปรายเกี่ยวกับอารมณ์หรือเจตคติของผู้เขียนเรื่องนั้น หรือ ฝึกทักษะการ เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ได้อ่าน เป็นต้น

  Culture shock 
      Culture shock is an experience a person may have when one moves to a cultural environment which is different from one's own; it is also the personal disorientation a person may feel when experiencing an unfamiliar way of life due to immigration or a visit to a new country, a move between social environments, or simply transition to another type of life. One of the most common causes of culture shock involves individuals in a foreign environment. Culture shock can be described as consisting of at least one of four distinct phases: honeymoon, negotiation, adjustment, and adaptation.   Common problems include: information overload, language barrier, generation gap, technology gap, skill interdependence, formulation dependency, homesickness (cultural), infinite regress (homesickness), boredom (job dependency), response ability (cultural skill set). There is no true way to entirely prevent culture shock, as individuals in any society are personally affected by cultural contrasts differently. Culture shock generally moves through four different phases: honeymoon, frustration, adjustment and acceptance. While individuals experience these stages differently and the impact and order of each stage varies widely, they do provide a guideline of how we adapt and cope with new cultures. 1. Honeymoon During this period, the differences between the old and new culture are seen in a romantic light. For example, in moving to a new country, an individual might love the new food, the pace of life, and the locals' habits. During the first few weeks, most people are fascinated by the new culture. They associate with nationals who speak their language, and who are polite to the foreigners. Like most honeymoon periods, this stage eventually ends. 2. Negotiation After some time (usually around three months, depending on the individual), differences between the old and new culture become apparent and may create anxiety. Excitement may eventually give way to unpleasant feelings of frustration and anger as one continues to experience unfavorable events that may be perceived as strange and offensive to one's cultural attitude. Language barriers, stark differences in public hygiene, traffic safety, food accessibility and quality may heighten the sense of disconnection from the surroundings. While being transferred into a different environment puts special pressure on communication skills, there are practical difficulties to overcome, such as circadian rhythm disruption that often leads to insomnia and daylight drowsiness; adaptation of gut flora to different bacteria levels and concentrations in food and water; difficulty in seeking treatment for illness, as medicines may have different names from the native country's and the same active ingredients might be hard to recognize. Still, the most important change in the period is communication: People adjusting to a new culture often feel lonely and homesick because they are not yet used to the new environment and meet people with whom they are not familiar every day. The language barrier may become a major obstacle in creating new relationships: special attention must be paid to one's and others' culture-specific body language signs, linguistic faux pas, conversation tone, linguistic nuances and customs, and false friends. In the case of students studying abroad, some develop additional symptoms of loneliness that ultimately affect their lifestyles as a whole. Due to the strain of living in a different country without parental support, international students often feel anxious and feel more pressure while adjusting to new cultures—even more so when the cultural distances are wide, as patterns of logic and speech are different and a special emphasis is put on rhetoric. 3. Adjustment Again, after some time (usually 6 to 12 months), one grows accustomed to the new culture and develops routines. One knows what to expect in most situations and the host country no longer feels all that new. One becomes concerned with basic living again, and things become more "normal". One starts to develop problem-solving skills for dealing with the culture and begins to accept the culture's ways with a positive attitude. The culture begins to make sense, and negative reactions and responses to the culture are reduced. 4. Adaption In the mastery stage individuals are able to participate fully and comfortably in the host culture. Mastery does not mean total conversion; people often keep many traits from their earlier culture, such as accents and languages. It is often referred to as the bicultural stage.

2.ความรู้และทักษะที่ได้
1การแปลความหมาย
2.การอ่านออกเสียง

3.ภาพ/วิดีโอประกอบ



                                                       



4.สรุป
      การอ่านมีความสําคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา การอ่านทําให้รู้ข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั่วโลก ผู้อ่านมีความสุข มีความหวัง และมี ความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง คือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ท่าให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และมีความอยากรู้ อยากเห็น 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บทที่ 3 Model of Communication

บทที่ 4